
Album Review
อัลบั้ม THE 20/20 EXPERIENCE ของ Justin Timberlake
หัตถาครองพิภพ April 15, 2013
สิ้นสุดการรอคอยสำหรับนักร้องอดีตบอยแบนด์วง ‘N Sync ที่เรารู้จักกันดีก่อนที่จะมาออกเดี่ยวในนามของเขาเองภายใต้แนวเพลงหลักที่เป็นเพลงป็อปและ R&B เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Justin Randall Timberlake ห่างหายไปจากวงการเพลงหลายปีดีดัก นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะกลับมาทวงบัลลังก์นักร้องชายแถวหน้าของโลกที่คนบนโลกได้ให้คำตอบกลับมาแล้วว่า มันยังคงเป็นของเขาอยู่ ด้วยการตอบรับที่ล้นหลามเหมือนเดิม เรียกว่าบารมีและความนิยมไม่เสื่อมคลายเลย ถ้าเป็นแบบนี้ ส่วนตัวผมก็มองว่า จัสตินสามารถขึ้นมาอยู่ในทำเนียบของศิลปินในระดับที่เป็นอมตะแล้ว กล่าวคือ ไม่ว่าจะห่างหายไปนานความนิยม ความศรัทธาในตัวพ่อหนุ่มคนนี้จะไม่มีจางหาย และเขาได้สร้างลายเซ็น เอกลักษณ์ และเส้นทางของตัวเองขึ้นมาได้แล้วว่า นี่คือ “จัสติน ทิมเบอร์เลค” และมีเขาคนนี้เพียงแค่คนเดียวเป็นประหนึ่ง The Only One ของวงการเพลง .. ดังนั้น ดูจากกระแสเพลงชุดนี้แล้ว ผมมั่นใจแล้วว่าจัสตินนั้น ติดลมบนไปแล้วแน่นอนในฐานะศิลปินคุณภาพคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ถูกภาพของบอยแบนด์เก่ากลบความสามารถที่เขามีด้วยซ้ำ ซึ่งตรงนี้ทุกคนก็คงจะเห็นด้วยเหมือนผม กับการกลับมาในอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า The 20-20 Experience
กลับมาครั้งนี้เขาก็มาพร้อมกับป้ายที่แปะบนแท่น ตัวโตๆว่า Executive Producer ซึ่งหลายๆคนน่าจะเข้าใจความหมายดีแล้ว นั่นหมายความว่า งานทั้งหมดนั้นถูกควบคุมการผลิตออกมาและกำหนดทิศทางภาพรวมโดยเขาเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกแนวดนตรี คอนเซปต์เพลง สไตล์และแนวคิด ทุกๆอย่าง โดยที่มีโปรดิวเซอร์คู่บารมีอย่าง ทิมบาแลนด์ Timbaland และ Jerome "J-Roc" Harmon / Rob Knox มาเป็นผู้ช่วยโคโปรดิวซ์กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งมันหมายความว่า ทุกสิ่งที่คุณจะได้เห็นและได้ฟัง นั่นคือตัวตนของจัสตินเองในฐานะ Artist ทั้งนั้น ไม่ใช่ Idol ผมชื่นชมตรงจุดนี้มาก และก็ไม่ได้ทำแค่เปลือกด้วย จัสตินมีความเป็นศิลปินสูงมากโดยจิตวิญญาณ บวกกับปัจจัยภายนอกทางด้านรูปลักษณ์ซึ่งอันนี้เป็นตัวเสริม แต่สิ่งที่ทำให้เขาทรงพลังมากที่สุดก็คือ soul หรือจิตวิญญาณของเขาเองนั่นแหละ น่าชื่นชมมากๆและผมก็คงต้องหันมาเป็นแฟนที่ติดตามพ่อหนุ่มคนนี้แบบจริงๆจังๆซะแล้วหลังจากที่ ก่อนหน้านี้ก็ยังติดภาพบอยแบนด์และคิดว่าคงเป็นไอดอลนักร้องธรรมดาๆ .. ที่ไหนได้ ศิลปินตัวจริงชัดๆ
ทีนี้มาว่ากันถึงอัลบั้ม The 20-20 Experience กันบ้าง งานนี้เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ของจัสตินเองถัดจาก Justified และ FutureSex/LoveSounds ซึ่งแนวทางของเพลงในอัลบั้มนี้ผมไม่อยากจะใช้คำว่า นีโอโซล ให้มันฟังดูยากเหมือนจะมีความรู้อะไรมากมาย(ก็ไม่มีนะแหละ) แต่เอาง่ายๆสำหรับชาวบ้านอ่านเข้าใจ มันคือ “โซล” โบราณแต่มาทำแบบร่วมสมัยนั่นเอง และนอกจากนั้นก็ยังมาผสมผสานกับแนวเพลงที่เป็นตัวตนและทางถนัดของจัสตินเองอย่าง R&B มีเสียงของ Electronica ที่เป็นซาวด์ซินธ์ลักษณะของเสียงสังเคราะห์ดังอัลบั้มก่อนๆที่เป็นลักษณะงานเพลงแนวทดลองแบบ Experimental นิดๆ และนอกจากนี้ก็มีความเป็น Pop Dance ของถนัดเข้ามาเสริม ผสมกับความร่วมสมัยของๆโบราณ ก็จะเป็นแบบ Contemporary เข้ามาผนวกด้วย ซึ่งในแต่ละเพลงก็จะมีสิ่งต่างๆเหล่านี้ เข้ามาผสมผสานกันในทุกๆส่วนของทุกๆเพลง แล้วแต่ว่ามันจะไปอยู่ตรงไหน (บางอันมีวอลซ์อีกตะหาก ซาวด์มันโอลดี้ได้ใจจริงๆ) บอกตามตรงว่าผู้เขียนก็ยังไม่เคยเจอและทดลองฟังเพลงแบบนี้อย่างแท้จริง เพราะกล่าวคือ แม้ยืนพื้นหลักจะเป็น นีโอโซล แต่ในหนึ่งเพลงนั้น ส่วนใหญ่ความยาวต้องบอกได้ด้วยภาษาเกรียนๆเลยว่า “โหดสัส” เพราะตกเพลงละ 7 ถึง 8 นาทีแทบทั้งนั้น สั้นสุดที่เป็นเพลงความยาวปกติแบบชาวบ้านคือ 4นาที นอกนั้นก็สอยยาวตั้งแต่เพลงแรกเลย แถมจังหวะเพลงบางทีก็เร็ว บางทีก็ช้า กะยึกกะยักเหมือนไอ้หนุ่มหมัดเมาที่คู่ต่อสู้(คนฟัง) อย่างเราๆ จะคาดเดากระบวนท่าจอมยุทธจัสตินและทิมบาแลนด์นั้น อย่าหวังเลย เปรียบเหมือนทะเลในแกรนด์ไลน์ครึ่งหลังแห่งการ์ตูนวันพีซ ที่นึกจะหนาว สลัลกับร้อน มีฟ้าผ่า ขึ้นมาตอนไหนก็ได้ เรียกได้ว่าปรับบีทตามและปรับอารมณ์ตามไม่ทันจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ การทำเพลงยาวๆแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนทำ ศิลปินระดับตำนานสมัยยุคก่อนๆก็เคยทำกันมาหมดแล้ว อย่าง Pink Floyd ที่ผมมักจะยกขึ้นมาเป็นเคสตัวอย่างในบทความอยู่เสมอๆ และพวกวงโปรเกรสซีฟร็อคต่างๆ ไม่นับรวมถึงเพลงบรรเลงเพลงคลาสิคนะ ดังนั้น คนที่ฟังงานชุดนี้ของจัสติน ที่เคยคุ้นกับทางแบบเดิมๆ อาจจะต้องปรับหูปรับวิธีคิดกันหน่อยแหละ เพราะมันเถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้!
เรามาดูกันที่เพลงในอัลบั้มกันบ้าง สิบเพลงบวกกับอีกสองซิงเกิล Deluxe Edition นั้น จะไล่เรียงทั้งหมดก็คงไม่ได้ แต่บอกได้คำเดียวว่า แต่ละเพลงเหนือชั้นในแง่ของความเป็นดนตรีมากๆ เพราะอย่างที่บอก เพลงยาวตั้ง 7 นาที ในนั้นศิลปินและโปรดิวเซอร์ทั้งสองอย่างทิมบาแลนด์และ J-Roc ก็ใส่รายละเอียดดนตรีและการผสมผสานต่างๆมาชนิดที่เรียกได้ว่า “เต็มข้อ” เรียกว่าจัดหนักกันเลยดังนั้นเหมาะสำหรับคนชอบฟังซาวด์ ฟังโครงสร้างดนตรีเจ๋งๆ Stucture ของงานอัลบั้มนี้น่าสนใจและน่าศึกษามากๆอีกงานนึงเลยทีเดียว ในแต่ละเพลง
เริ่มตั้งแต่เพลงแรก ขอพูดถึง Suit & Tie ก่อนซึ่งเป็นเพลงโปรโมทที่ดังที่สุดในขณะนี้และผมเคยเขียนรีวิวถึงไปแล้ว เพลงนี้เป็นเพลง R&B ที่เหนือชั้นมาก และผมก็พบตัวเองว่ายิ่งฟังก็ยิ่งชอบเพลงนี้ หลังจากรอบแรกไม่ชอบเลย เนือยมาก ฟังไปฟังมา โหย โคตรเจ๋งเลย ยิ่งฟังยิ่งหลงเสน่ห์กับความเป็นR&Bดีๆที่ผสมกับนีโอโซลแบบโอลด์สคูล.. (ผมไม่ได้ใช้ศัพท์ที่มันเลิศหรูอะไร โอลด์สคูลไม่ต้องคิดมากครับ มันคืออะไรที่มันเก่า มันเป็นของคนเจนฯก่อนหน้าเรา แต่มันยังเจ๋งและขลังในความรู้สึกอยู่ นั่นล่ะครับ โอลด์สคูล) เมโลดี้สวยงามทำให้หูผมไหลลื่นไปกับเพลงและเสียงของจัสติน รวมถึงซาวด์เสียงเก่าๆในเพลงที่ถูกนำมาทำให้มันดูใหม่และไม่เชยได้ .. เด็ดมากจริงๆสำหรับ Suit &Tie แถมยังมีช่วงบีทฮิปฮอปเข้ามาแร็พกลางเพลงมันส์ๆด้วยแร็ปเปอร์อย่าง Jay-C และมันก็เป็นแบบนี้ทั้งชุดครับ
Mirrors นี่ก็เก่ามาตั้งแต่อินโทรเลย ได้ข่าวว่าจะเป็นเพลงโปรโมทเพลงต่อไปซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ และผมคิดเหมือนกับอีกบทความนึงที่เขียนถึงเพลงนี้เหมือนกัน มันเหมือนเพลงบัลลาดร็อคสมัยก่อนรุ่นพ่อผม รุ่นฟุตบอลโลกมาราโดน่า 1970s ปลายๆ จนถึง 1980s ปลายๆเลย ฟังแล้วมันโคตรจะฮึกเหิมเลยครับ ได้อารมณ์ย้อนยุคมากๆ นี่ก็อีกเพลงที่โอลด์สคูลจ๋า ชอบซาวด์จริงๆครับให้ตายเหอะ
That Girl เพลงนี้มีความเป็นโซลแบบคลาสสิคโบราณสูงมาก ดิบมาก เป็นคอนเทมฯเลยก็ยังได้ สุดยอดครับ แต่สามารถผสมผสานโครงสร้างให้มันออกมาไม่โบราณ เป็นเพลงร่วมสมัยได้ด้วยสไตล์การร้องและเมโลดี้แบบแจ๊ส ฟังแล้วนึกถึงงานเดี่ยวชุดแรกของเขาเลย ย้อนไปถึงGoneของเอ็นซิงก์เลยก็ได้
Strawberry Bubblegum เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบมาก และเพลงก็ยาวมากอีกเช่นเคยแบ่งเป็นสองพาร์ทได้ใหญ่ๆคือ ครึ่งแรกกับครึ่งหลัง ไม่รวมทดเจ็บ- - ครึ่งแรกจะเป็นโซลแบบที่มีซาวด์ล้ำๆอย่าง Electronic เข้ามาผสมเป็นเทคโนกลายๆ ส่วนครึ่งหลังมันจะกลายเป็นอะไรที่โบราณกว่านั้นอย่างสไตล์แจ๊สยุคคลาสสิค
Pusher Love Girl นี่ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะเป็นเพลงยาวเพลงแรกที่เจอ ผมชอบกรูฟมันมากๆเพลงนี้ เด่นสุดๆด้วยความเป็นโซลจ๋า มีเสียงประสานออกโมทาวน์เล็กๆ ต้นเพลงเป็นวอลซ์แบบเก๋าๆที่น่าหลงใหลมากๆ เจ๋งมากครับเสพไปเต็มๆ8นาที
Tunnel Vision ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะจัดมาอลังการมากด้วยซาวด์อะไรนักหนาไม่รู้ทั้งเทคโน ผสมกับโซล Electronica บีทฮิปฮอปR&Bอีกตะหาก อู้ย เยอะ / Spacship Coupe จริงๆก็เพราะมากครับเมโลดี้แบบR&Bน่าประทับใจ
Let The Groove Get In นี่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยจัดเต็มมากเหมือนกัน จังเกิลซาวด์ทุ่งหญ้าซะวันนาแอฟริกามีงานเฟสติวัลสุดๆในต้นเพลงและท้ายเพลงก็ใส่โซลสวยๆมา..ฟัง7นาที ดี7หนเลยทีเดียวเจียว
สรุปแล้ว จัสตินอัลบั้มนี้ ถามถึงความอลังการงานสร้างแล้ว เป็นงานโซลยุคใหม่ที่ผสมผสานแนวดนตรี R&B Electronic Jazz Contemporary ทุกสิ่งอย่างเข้าด้วยกันได้อย่างครบถ้วนและมาเต็ม สุดยอดมากๆ ต้องฟังรายละเอียดดนตรีให้ดีๆเลยครับ คะแนนเต็มคงต้องให้แล้วล่ะ นานๆกลับมาทีจัดเต็มซะขนาดนี้ สุดยอดครับ จัสตินทิมเบอร์เลค!!