
Album Review
Single Lost In The Echo ของ Linkin Park
หัตถาครองพิภพ September 10, 2012
ได้เขียนรีวิวถึงวงในดวงใจอย่าง Linkin Park แล้ว กระดูกค้อนทั่งโกลนในหูของผมมันลิงโลดเสียนี่กระไรที่ได้ทดสอบสมรรถภาพ(หืม?) ของ Lost in the echo เพลงเปิดหัวอัลบั้ม Living Things อัลบั้มแห่งศักราช 2012 ของวงร็อคขั้นเทพ ที่เป็นตำนานไปแล้วในขณะที่พวกเขายังเดินเข้าเซเว่นได้เองโดยที่ไม่ต้องใช้ไม้เท้า (!?!?) ผมอยากจะบอกว่า วงๆนี้ เป็นวงที่ผมภูมิใจมากที่จะบอกว่า ตั้งแต่จุดแรกที่เราได้พบเจอกันในร่มชายคาของ Hybrid Theory ซึ่งขณะนั้น LP ก็ยังไม่ได้ดังมากมายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ผมติดใจเจ้าหนุ่มหัวแดงหัวเหลือง เชสเตอร์และไมค์ชิโนดะ ที่โยกสะบัดจิตวิญญาณและสำรอกแผดเสียงอย่างเมามันส์ในเพลง One Step Closer .. ตอนนั้นอาจจะยังไม่มีใครชอบมากมายนักเหมือนทุกวันนี้ แต่วินาทีแรกที่ผมได้เสพงานชิ้นนั้น ผมบอกตัวเองทันทีเลยว่า นี่แหละ ความเจ๋งมันคือแบบนี้ cause I’m one step closer to the edge and I’m about to break! แอบปลื้มใจภูมิใจเล็กๆว่า ตูนี่แหละ คลั่งLPตั้งแต่วงเค้ายังไม่ดังในประเทศไทยเลย :)

ก่อนที่จะไปว่ากันถึงซิงเกิล Lost in the echo อยากบอกว่าผู้เขียนบ้าคลั่ง lies greed misery ในอัลบั้มนี้มาก่อนแล้ว ซึ่งไม่ว่าใครจะว่ามันเปลี่ยนหรือตามก้นคนอื่นจนเสียความเป็นLPยังไงผมไม่สน งานของLPก็เป็นเหมือนพวก Experimental อยู่แล้ว การที่เค้าเอา dubstep มาเจือกลิ่นในงาน จึงไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้ และผมว่าทำได้ดีด้วย LGM ทำให้ผมโยกหัวตามได้กับจังหวะdubมันส์ๆ ได้ฟังซาวด์เทพๆจากมือระดับโลกด้วย มันจะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกล่ะ!
ว่ากันด้วยลูกเล่นของตัว Video ของ Lost in the echo ก่อน เพลงนี้มีทริคให้แฟนเพลงได้เล่นกับ LP เล็กน้อยตรงที่สามารถให้แฟนๆได้นำรูปใน Facebook ของแต่ละคน ลงไปอยู่ในซีนที่เป็นช็อตรูปภาพ ในMV official เพลงนี้ได้ด้วยโดยที่คลิกเข้าไปดูMVนี้ผ่านลิงค์ http://lostintheecho.com/ ต้องลองไปเล่นกันดูครับ สนุกดี ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของวง และความประทับใจนี้ได้ดีเลย เป็นการคอนเทนท์แบบ interactive ที่สามารถเล่นกับuser ต่างๆได้ โดยที่รูปที่ถูกเลือกไปก็จะถูกสุ่มๆไป และจะเปลี่ยนเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลถึงความอันตรายที่จะถูกดึงรูปไปใช้ทำอะไร เว็บไซต์เขารับประกันระบบอยู่แล้ว
ว่าด้วยเรื่องตัวซิงเกิล Lost in the echo คงทำให้เรื่องครหาและคำก่นด่า หรือคำบ่นจากแฟนๆพันธุ์แท้ และพันทาง ได้ลดๆลงไปบ้าง ในกรณีก่อนหน้านี้จากเพลง LGM ที่เค้าไม่ชอบการรับเอาdubมาเล่นแบบเต็มที่ ซิงเกิลนี้ก็ทำให้แฟนเพลงได้ใจชื้นอยู่บ้างว่า นี่แหละ LP ของแท้ต้องแบบนี้ เพลงนี้ถึงแม้จะมีความใหม่เข้ามาในเรื่องของเสียงสังเคราะห์ที่วงนี้ไม่เคยเลยที่จะไม่จัดเต็ม แต่ตัวโครงสร้างของเพลง เป็นสิ่งที่เรียกว่า ลายเซ็นต์ .. เพลงนี้เลยแหละครับ Linkin Park ของแท้ๆเลย น่าจะทำให้คนหายคิดถึงซาวด์แบบเก่าๆที่คุ้นเคยของ LP กันไปบ้างไม่มากก็น้อย เพลงนี้หากลองฟังดีๆแล้ว มีสิทธิ์พาลให้พากลับไปถึงหุ่นรูปปั้นยักษ์กลางป่าตัวนั้น กับซิงเกิล in the end เมื่อกาลครั้งกระโน้นเลยครับ เพราะสองเพลงนี้มีกลิ่นอายที่คล้ายกันอยู่ ตัวMVเองกำกับภาพได้ทึมๆดี เล่นกับสเปเชี่ยลเอฟเฟคต์คนตัวแตกเป็นผุยผงให้ดูกันเล่นๆ แต่เพลงนี้ ที่เด่นนอกจากท่วงทำนองอันคุ้นเคยแล้ว ที่ตัวผู้เขียนเองรู้สึกสะดุดกึก พร้อมกับน้ำตาปริ่มที่เบ้าตา (เว่อร์ไป) นั่นคือสัญลักษณ์การมีนักร้องคู่ของ LP นั่นเอง การแร็พของไมค์ยังคงมีจังหวะหรือกรู๊ฟที่เฉพาะตัวมาก และฟังทีก็รู้เลยว่าใคร ซึ่งหาคนเลียนแบบยากมาก และอีกส่วนหนึ่งของเพลงคือ “การสำรอก” หรือ การร้องแบบกรีดตะโกนแผดเสียง ของนักร้องนำอีกคน เชสเตอร์ เบนนิงตัน.. ท่อนฮุคอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่สำรอกพร้อมซาวด์ช่วง solo และช่วงท้ายเพลง มันเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ น่ากลัวว่าคอแกจะเป็นอะไรจริงๆ ถือเป็นอีกสิ่งที่ทำให้ Linkin Park ไร้เทียมทานมาจนกระทั่งทุกวันนี้เพราะเสียงของเขาสองคนนี้แหละครับ ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนแล้ว แต่เชสเตอร์ไม่เคยปล่อยให้คุณภาพเสียงของเขาดร็อปลงเลย ทั้งๆที่ใช้งานแบบหนักหน่วงขนาดนั้นมาไม่รู้กี่ปี amazingมากๆ ต่างกับนักร้องในบ้านเราหลายๆคนที่ไม่รู้จักดูแลตัวเองจนกระทั่งต้องออกไปจากเส้นทางตรงนี้ไป เชสเตอร์และ LP ไม่จำเป็นต้องแหวกแนวหนีใครๆ เพราะงานทุกชิ้นที่พวกเขาทำ มันบรรจงสร้างขึ้นมาในแบบที่ไม่มีใครมีทาง”ทำได้”เหมือนอยู่แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เพราะฉะนั้น Lost in the echo ก็ถือเป็นเพลงระดับลายเซ็นที่เรียกได้ว่า สำเนาถูกต้องจาก Linkin Park อีกเพลง ที่สาวกไม่ควรพลาดที่จะหามาฟัง ซาวด์เจ๋งจริงๆให้ตาย ไม่เคยมีคำว่าผิดหวังเลยครับ

ในขณะที่ผมกำลังนั่งฟังเพลงนี้วนๆต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังเขียนถึงความยอดเยี่ยมของพวกเขา ก็ทำให้ผมนึกถึงคำพูดบางคำที่เคยผ่านตาไปครั้งหนึ่งเกี่ยวกับLinkin Park ไว้ว่า.. No one can scream like Chester. มาจนวันนี้ อืม ผมก็ว่ามันโคตรจะจริงเลยล่ะ….