
Movie
Cafe' Society ณ ที่นั่นเรารักกัน
YOU2PLAY July 04, 2016
Cafe' Society ณ ที่นั่นเรารักกัน
ความยาว 96 นาที
นำแสดงโดย
จีนนี่ เบอร์ลิน
สตีฟ คาเรล
เจสซี ไอเซนเบิร์ก
เบลค ไลฟ์ลี่
พาร์คเกอร์ โพซีย์
คริสเตน สจ๊วต
คอรีย์ สโตลล์
เคน สต็อตต์
เรื่องย่อ
ณ มหานครนิวยอร์ก ปี 1930 ชีวิตของบ๊อบบี้ ดอร์ฟแมนมีแต่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ชอบหาเรื่องทะเลาะ พี่ชายก็เป็นสมาชิกแก๊งสเตอร์และกิจการร้านเพชรพลอยของครอบครัวที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศซักครั้ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแสวงโชคที่ฮอลลีวูดด้วยการทำงานรับใช้คุณลุงฟิล ผู้จัดการดารา แล้วที่นั่นเขาก็ตกหลุมรักหญิงสาวนางหนึ่งทั้งๆที่เธอมีแฟนหนุ่มอยู่แล้ว บ๊อบบี้จึงคงสถานะเพื่อนสนิทไว้ก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงสาวคนนั้นไปเคาะประตูหน้าบ้านบ๊อบบี้และบอกเขาว่าเธอเลิกรากับแฟนหนุ่มคนนั้นแล้ว ชีวิตของเขาจึงพลิกผันสิ้นเชิง
เบื้องหลังงานสร้าง
หนังเรื่อง Café Society ของผู้กำกับ วู้ดดี้ อัลเลน เป็นเรื่องราวยุค 1930 ในมหานครนิวยอร์กและฮอลลีวูด ที่ๆอุดมด้วยผู้คนหลากหลายประเภท ตั้งแต่ดาราหนังจนถึงมหาเศรษฐี เพลย์บอยจนถึงศาสตราจารย์ ผู้หญิงหากินจนถึงปัญญาชน
การถ่ายทอดเรื่องราวในวงกว้างหลากหลายถูกวางไว้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว “เมื่อผมเขียนบทหนัง ผมวางโครงสร้างให้เหมือนนวนิยาย ความคล้ายกับการอ่านหนังสือก็คือคุณมักจะมีเวลาซักพักเพื่อดูฉากตัวละครเอกอยู่กับแฟนสาว ฉากพ่อแม่ของเขาตามด้วยฉากพี่น้องที่เป็นพวกแก๊งสเตอร์ ฉากบรรดาดาราฮอลลีวูด ตามด้วยบรรดานักการเมือง มือใหม่ออกงานราตรี บรรดาเพลย์บอย มีการนอกใจหรือการฆาตกรรม สำหรับผม มันไม่ใช่เรื่องราวของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องราวของทุกคน” ผู้กำกับลายครามกล่าว
แล้วเหมือนกับในนิยายก็คือเรื่องราวในหนังจะถูกเล่าผ่านเสียงบรรยายของผู้ประพันธ์ ดังนั้นอัลเลนจึงคิดว่าหนังเหมาะสมกับการใส่เสียงบรรยาย “ผมลงมือด้วยตนเองเพราะผมรู้ว่าผมอยากให้ถ้อยคำต่างๆถูกผันไปทางไหน ผมเข้าใจตั้งแต่ลงมือเขียนหนังสือ จึงดูเหมือนว่าผมกำลังอ่านจากนิยายของผม
ยุคทองในฮอลลีวูดก็ถือเป็นสิ่งที่ติดตรึงใจสำหรับคนมีฐานะและมีชื่อเสียงเช่นกัน แต่ชีวิตราตรีของพวกเขากลับแตกต่างจากที่มหานครนิวยอร์กอย่างเห็นได้ชัด “สถานที่โดดเด่นในฮอลลีวูดก็คือคลับโคโคนัท โกรฟและคาเฟ่ โทรคาเดโร่ คือไม่มีที่โดดแด่นมากมายนัก ทุกคนจะขับรถมาเยือนคลับเหล่านั้นซึ่งโด่งดัง สง่างามเพราะที่นั่นมีแต่ดาราหนัง ขณะที่สังคมราตรีที่นิวยอร์กดูภูมิฐานในแบบที่ฮอลลีวูดยังไม่มี”


ขณะที่บ๊อบบี้ยังเข้ามาใหม่ๆที่แอลเอ ฟิลก็ขอให้ผู้ช่วยของเขานามว่า วอนนี่ (คริสเตน สจ๊วต) พาบ๊อบบี้เที่ยวรอบเมือง แล้วหลังจากพาเที่ยวบ้านดาราและแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับวงการฮอลลีวูดในสายตาของวอนนี่ ทันใดนั้นบ๊อบบี๊ก็หลงรักเธอเข้าให้ “วอนนี่เป็นผู้หญิงทะเยอทะยานคนหนึ่งที่รับรู้ความเป็นไปของวงการที่เธอสังกัดอย่างถ่องแท้ วงการนั้นทั้งสนุกและตื่นเต้นดีแต่ก็กลวงเปล่า ซึ่งมันก็มีเสน่ห์สำหรับเธอ” คริสเตน สจ๊วตกล่าวถึงตัวละครของเธอ ขณะที่ไอเซนเบิร์ก นักแสดงที่ร่วมงานกับสจ๊วตเป็นเรื่องที่สาม (ต่อจาก Adventureland และ American Ultra) กล่าวเสริมอีกว่า “ผมคิดว่าตัวละครทั้งสองต่างก็หลงใหลและรับมือกับมนต์เสน่ห์ของด้านที่แสนฉูดฉาดในเมืองแห่งวงการมายา แต่วอนนี่เป็นคนที่มอบภูมิคุ้มกันขนานแท้ให้บ๊อบบี้ เธอเป็นคนที่ทั้งชอบถากถางและตลก อีกทั้งดูเหมือนเธอมีมุมมองเกี่ยวโลกแห่งความเป็นจริง แต่โชคร้าย วอนนี่มีแฟนหนุ่มแล้ว และเขาก็ต้องยอมรับในฐานะเพื่อนสนิทเท่านั้น”
แล้วที่เมืองแห่งมายานี่เอง บ๊อบบี้ก็ได้เจอเพื่อนสนิทคนใหม่หลากหลายอาชีพ หลากหลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็น แร้ด เทเลอร์ (พาร์คเกอร์ โพซีย์) สาวชาวนิวยอร์ก เจ้าของกิจการตัวแทนโมเดลิ่ง และสตีฟ (พอล ชไนเดอร์) สามีของเธอและเป็นผู้อำนวยการสร้าง สตีฟได้ชักชวนบ๊อบบี้มาดูหนังของเขาที่บ้าน และบ๊อบบี้ก็ลิ้มรสชาติครั้งแรกว่าชีวิตในฮอลลีวูดสำหรับเขาเป็นอย่างไร

เมื่อบ๊อบบี้กลับถึงนิวยอร์กและไปช่วยงานของเบน พี่ชายคนโตที่กลายเป็นเจ้าของไนท์คลับชื่อว่า “คลับ แฮงค์โอเวอร์” บ๊อบบี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาบริหารงานได้ดีและรู้ว่าจะดึงดูดลูกค้าพวก Café Society ได้อย่างไร ขณะเดียวกัน แร้ด เทเลอร์ก็พยายามโน้มน้าวให้เขาปรับปรุงไนท์คลับและเปลี่ยนชื่อเป็น “เล โทรพิคเก” (Les Tropiques) แล้วไม่นาน ไนท์คลับแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยคนสังคมชั้นสูง ดาราดัง นักการเมืองและเพลย์บอย ขณะที่บ๊อบบี้ก็ระเริงไปกับพวกเขา
คืนหนึ่ง แร้ดก็แนะนำหญิงสาวคนใหม่ให้เขา เธอชื่อว่า เวโรนิก้า (เบลค ไลฟ์ลี่) สาวสังคมที่พึ่งโดนสามีทิ้งแล้วไปคบเพื่อนซี้ของเธอมาดๆ “เธอเจ็บปวดและใจสลายจริงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอยังไม่ถึงขนาดเบื่อโลกเบื่อชีวิต เธอยังมีความไร้เดียงสาเมื่อเธอได้ยินเรื่องราวครอบครัวของบ๊อบบี้ และเธอก็ค้นพบเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเธอ เธอมีความตรงไปตรงมาซึ่งปราศจากขีดกั้นทางสังคมและการเมืองใดๆซึ่งแพร่หลายในยุคนั้น” ดาราสาวจากซีรี่ส์ Gossip Girl กล่าวถึงตัวละครของเธอ แล้วต่อมาเวโรนิก้าก็หลงเสน่ห์บ๊อบบี้เข้าให้ แต่หลังจากจีบกันไม่นาน เธอก็บอกว่าเธอตั้งท้องขณะที่บ๊อบบี้ยังสลัดภาพของวอนนี่ออกจากความทรงจำไม่ได้ซักที กระนั้นเขาก็ขอเธอแต่งงานในที่สุด “เวโรนิก้าเป็นตัวละครที่น่าสนใจจริงๆ เพราะหนังเรื่องนี้คือหนังรักเรื่องหนึ่งแล้วคุณก็จะเอาใจช่วยคนสองคนซึ่งถือเป็นหัวใจของหนัง แล้วเมื่อเวโรนิก้าปรากฏตัวเข้ามา คุณอาจจะชอบเธอแต่ก็อยากให้คู่รักคนก่อนหน้านั้นกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง คุณก็คงเอาใจช่วยเธอและในคราวเดียวกันคุณก็คงเอาใจช่วยพวกเขาเช่นกัน”
ขณะเดียวกัน ชีวิตคู่ของเอเวอลีนและเลียวนาร์ดก็เริ่มจะมีปัญหาเช่นกัน ซึ่งวิธีแก้ปัญหาของเลียว์นาร์ดก็ยิ่งแตกหักมากขึ้นไปอีก เอเวอลีนจึงร้องขอให้เบนช่วยพูดกับเขาซึ่งนั่นจะทำให้เธอเสียใจภายหลัง
แล้วองค์ประกอบสำคัญที่จะถ่ายทอดความหรูหราของผู้คนในยุค 1930ให้มีชีวิตชีวาได้คือการกำกับภาพซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวู้ดดี้ อัลเลนที่ร่วมงานกับ วิตตอริโอ สโตราโร ผู้กำกับภาพเจ้าของ 3 รางวัลออสการ์จาก Apocalypse Now (1979), Reds (1981) และ The Last Emperor (1987) “ผมคิดว่าการกำกับภาพเป็นสิ่งสำคัญมากๆในการเล่าเรื่อง แล้ววิตตอริโอเป็นศิลปินมือฉกาจจริงๆ” ผู้กำกับกล่าวชม และในการทำงานร่วมกันครั้งแรก พวกเขาเลือกถ่ายทำหนังด้วยกล้องดิจิตอลซึ่งสโตราโรเคยทดลองมานานหลายปี แล้วเขารู้สึกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยยกระดับที่ทำให้ผลออกมาเป็นที่พึงพอใจ การกำกับภาพในหนังเรื่องนี้จะแบ่งเป็น 3 ส่วนที่ให้บรรยากาศที่แตกต่างกัน “บรรยากาศในย่านบร็องซ์จะค่อนข้างแห้งๆเย็นๆ เกือบเหมือนแสงตอนเย็นในฤดูหนาว แต่ในลอสแองเจลิสจะแตกต่างกันสิ้นเชิง บรรยากาศที่ฮอลลีวูดก็จะมีแม่สีที่เข้มข้นเป็นส่วนประกอบในสีส่วนรวมโทนอบอุ่น ให้ความรู้สึกจัดจ้าน แล้วหลังจากบ๊อบบี้กลับสู่นิวยอร์ก ทุกอย่างก็จะสดใสมากกว่าเดิมและมีสีสันมากขึ้นโดยเฉพาะฉากไนท์คลับ ขณะที่หนังกำลังดำเนินเรื่อง หนังมีการถ่วงดุลอำนาจขององค์ประกอบทางด้านภาพระหว่างเมือง 2 เมือง นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบเพิ่มเติมลงไปในหนัง มันค่อนข้างแตกต่างกันทางด้านภาพในช่วงแรก แต่ยิ่งใกล้ชิดทีละขั้นๆ ก็พบว่าทั้งสองแห่งมันชื่อมโยงซึ่งกันและกัน” ผู้กำกับภาพเจ้าของ 3 ออสการ์กล่าว
ขณะที่หนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่ถ่ายภาพออกมาในรูปแบบมุมกว้างเพื่อเหมาะสมสำหรับหนังย้อนยุค สโตราโรและอัลเลนตัดสินใจใช้กล้องสเตดิแคมเมื่อตัวละครผู้บรรยายเริ่มปริปาก “ตัวละครผู้บรรยายไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาใดช่วงหนึ่ง ยุคใดยุคหนึ่ง หรือสถานที่ใดที่หนึ่ง ตัวละครตัวนั้นเป็นสิ่งนามธรรมสมบูรณ์แบบจริงๆ ดังนั้นเมื่อผู้บรรยายเริ่มเล่าเรื่องราว เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนั้นควรมีมุมมองเป็นของตนเอง เราจึงตัดสินใจใช้กล้องสเตดิแคมซึ่งเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมเพื่อเสริมเรื่องราวรอบตัวละครได้มากกว่าและมีอิสระได้มากกว่าในการเล่าเรื่องสอดคล้องกับตัวหนังเอง” สโตราโรกล่าว
สำหรับฉากเปิดเรื่องของหนังที่เป็นฉากสระว่ายน้ำในบ้านของดาราฮอลลีวูดนามว่า โดโลเรส เดล ริโอ ก็อิงมาจากรูปภาพในหนังสือที่โลควอสโตคัดสรรมา เขาส่งรูปไปให้แผนกจัดสรรสถานที่และโชคดีที่พวกเขาหาเจอ บ้านที่ได้จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นความแตกต่างระหว่างลอสแองเจลิสและนิวยอร์กอย่างชัดเจน “ขณะที่คลับในนิวยอร์กจะเป็นสีขาว-ดำ และแดง บ้านของโดโลเรสก็จะมีสระน้ำ มีอาคารสีขาวรายล้อมด้วยหญ้าเขียว ประดับด้วยเครื่องเงินและเฟอร์นิเจอร์สีน้ำทะเล”
ส่วนอพาร์ตเมนต์แสนทะมึนของโรสและมาร์ตี้ ดอร์ฟแมนก็ถ่ายทำที่อพาร์ตเมนต์บนถนนริเวอร์ไซด์ ไดรฟ์ “มันอยู่ในสภาพเก่าแก่อยู่แล้วและเราก็สามารถทำให้ดูเก่าขึ้นอีกและตกแต่งกลับคืนมาได้” ตามด้วยบ้านของเอเวอลีนและเลียวนาร์ดที่ตั้งใจว่าจะเป็นที่ไหนซักแห่งที่อยู่นอกตัวเมือง “มันยากนะที่จะหาบ้านนและทางเดินที่เหมาะกับตัวหนัง วิตตอริโอต้องการสถานที่ๆดูเทากว่าปกติ แล้วเราก็ทำให้มันดูน้ำตาลอมเทาและมีสีเทาซะเลย” โลควอสโตกล่าว
แน่นอนว่าสไตล์ของคนนิวยอร์กแตกต่างกันเพราะผู้คนได้รับอิทธิพลจากวิถีชีวิตที่เนี้ยบหรูจริงจัง พวกเขาจะใส่ชุดทักซิโด้หรือเสื้อผ้าแบบคนชั้นสูง “ผู้หญิงนิวยอร์กจะดูเป็นคนยุโรปและเป็นเด็กสาวมากกว่าผู้หญิงในแคลิฟอร์เนียเสียอีก” เบนซิงเกอร์กล่าวถึงสไตล์ของคนนิวยอร์ก “นิวยอร์กยุคนั้น บรรดาดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสเข้ามาทำงานและในบรรดาสาวๆที่เป็นลูกค้าก็เลยมีการแข่งขันกันระหว่างค่ายแชนเนล กับเชียพาเรลลี” และแม้ภาพถ่ายที่เบนซิงเกอร์ถือเป็นแหล่งข้อมูลล้วนเป็นภาพขาวดำ เธอก็เลยอาศัยการอ่านแทน “ฉันอ่านบทความจากนิตยสารแฟชั่นยุค 1930 ที่บอกว่าแฟชั่นยุคนั้นมีสีสันที่ร้อนแรงและมาจากปารีส”
ด้านเจสซี ไอเซนเบิร์ก นักแสดงผู้เคยร่วมงานกับวู้ดดี้ อัลเลนมาก่อนเรื่อง To Rome With Love บรรยายความรู้สึกต่อการทำงานกับอัลเลนว่าทั้งท้าทายและสมดังใจปรารถนา “มันกังวลมากนะเพราะคุณจะไม่ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในฉากเดียวกัน ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการอย่างแน่แท้ ความรู้สึกนั้นก็ยังปรากฏอยู่ในหนัง แต่ก็เป็นเรื่องพอใจนะที่รู้ว่าคุณกำลังถูกจับจ้องและจับผิดโดยใครสักคนที่ให้ความสำคัญซึ่งถือเรื่องจำเป็นอย่างมากในการทำหนังแต่ละฉาก และเน้นย้ำให้โดดเด่นออกมาด้วยวิธีที่ทรงพลัง ชัดเจนและฉลาดที่สุด” ส่วนสตีฟ คาเรลก็ชื่นชมว่าอัลเลนไม่ได้ทำหนังแบบถ่ายหลายเทค “เมื่อคุณทำอะไรมากเกินไป คุณก็จะเริ่มคิดมาก ปฏิกิริยาหรือภาพที่ปรากฏออกมาเลยดูแปลกปลอม ผมคิดว่าเขาชอบความกระชับฉับไวซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ได้ผล” และคริสเตน สจ๊วตก็รู้สึกว่าอัลเลนได้ผลักดันให้เธอออกจากจุดที่เธอคุ้นเคย “ มันมีความสนุกสนานและความคึกคักสำหรับตัววอนนี่ที่ฉันยังเข้าถึงได้ไม่ง่ายนัก เขาก็เลยให้ความช่วยเหลือ ทำให้ฉันรู้สึกร่าเริงและค้นพบความรู้สึกสบายใจจริงๆ” ทางด้านเบลค ไลฟ์ลี่ก็กล่าวว่าอัลเลนไม่เคยก้าวก่ายหรือยกตนข่มคนอื่นใดๆ “เขาจะไม่ให้บทพูดที่ชัดเจนแก่คุณ ในการทำงานของเขา เขาจะพูดประมาณว่า อารมณ์ในแต่ละฉากควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จากนั้นเขาก็จะพูดซักประโยคหนึ่งแล้วมันก็จะเปลี่ยนความคิดคุณโดยสิ้นเชิงว่าประโยคที่ควรจะพูดคืออะไร” ส่วนคาเรลก็เชื่อว่าวิธีการกำกับหนังของอัลเลนอยู่ที่การชื่นชมในตัวนักแสดงและการทำงานของพวกเขา “ผมคิดว่าอัลเลนเอาใจใส่นักแสดงจนเชื่อมั่นว่าพวกเขาเตรียมตัวพร้อมอย่างดีและเต็มใจร่วมงาน เขาจะจัดการให้นักแสดงได้โชว์ฝีมือเต็มที”
ตัวอย่างภาพยนตร์